วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หนีร้อนพึ่งเย็น กับหาดสีใสสไตล์คนชอบเที่ยว

อ่าวดงตาล (หาดดงตาล)

     

 ช่วงนี้ใครๆ ก็บ่นว่าร้อน ร้อนมากมาย ร้อนตับจะแตก ร้อนจนอยากจะแช่อยู่ในน้ำทั้งวัน วันนี้ดิฉันเลยขอเสนอสถานที่ท่องเที่ยวที่จะช่วยดับร้อนให้กับทุกท่านได้ค่ะ ซึ่งที่นั่นก็คือ "อ่าวดงตาล" หรือจะเรียกว่า "หาดดงตาล" ก็ได้ค่ะ

   

     

      อ่าวดงตาล หรือ หาดดงตาล อยู่ที่ตำบลสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการการพักผ่อนหย่อนใจ และไม่ชอบคนเยอะๆ อยู่ใกล้ค่ายทหาร และสามารถมองเห็นเรือจักรีนฤเบศได้ น้ำทะเลมีสีใสและไม่ลึกมากนัก เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย


  




และไม่ต้องห่วงเรื่องเสื่อหรือไม่มีที่นั่งพัก เพราะที่อ่าวดงตาลนี้มีบริการให้เช่าเสื่อ เก้าอี้ และยังมีห่วงยางและเสื้อชูชีพให้เช่าเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้เล่นด้วย


นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมาย เช่น การนวดจากเหล่าแม่บ้านทหาร ทาสีปูนพลาสเตอร์ มีสนามกีฬาให้เล่น หรือจะเช่าเรือใบ เรือพาย มาเล่นก็ได้ ถือว่าทั้งคนบนบกและคนในน้ำมีกิจกรรมให้ทำแก้เบื่อได้มากเลยทีเดียว






อ่าวดงตาลแห่งนี้มีความยาวหลายกิโลเมตร สามารถเลือกที่เล่นได้ตามใจ และที่สำคัญคือที่หาดแห่งนี้มีสัตว์ทะเลอยู่หลายชนิด ทั้งกุ้ง กั้ง หอย ปู และปลาชนิดต่างๆ ถือได้ว่ายังคงความเป็นธรรมชาติไว้ได้ดี 




น้ำใสไหลเย็นขนาดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นมากๆ คนก็น้อย มีความเป็นส่วนตั๊วส่วนตัวราวกับมีทะเลเป็นของตนเอง บรรยากาศก็ดี ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส บรรยายมาขนาดนี้แล้วจะรออะไรล่ะคะ มาเที่ยวทะเลไทยกันดีกว่าค่ะ







น.ส. วิมลพรรณ ประวัติ
056

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

รีวิวเที่ยว "ปากเซ"











สวัสดีค่ะ วันนี ้ดิฉันจะมารีวิวการไปเที่ยวเมืองปากเซ ประเทศลาว แบบสั้นๆกันนะคะ โดยจุดเริ่มต้นของทริปนี่ดิฉันไปกับ พี่ชายมาค่ะ ไปหาคุณพ่อที่อยู่ที่นั่น ในระยะเวลา2วัน1คืน 




การเดินทางอย่างแรกมุ่งหน้าไปที่หมอชิตกันเลย โดยจองตั๋วไปอุลราชธานี ลงที่ช่องเม็กนะ อันนี ้ถ้าใครจะสะดวกนั่ง เครื่องบินแล้วต่อรถตู้ก็ได้ค่ะ หรือจะนั่งรถทัวร์เข้าเมืองปากเซก็มีให้เลือกนะคะ ใช้เวลาประมาณ12ชั่วโมงจะถึงช่องเม็ก นั่งกันเปื่ อยเลยค่ะ นอนๆตื่นๆหลายตลบ 





เมื่อมาถึง เราก็ต้องท าบัตรผ่านแดนชั่วคราวก่อนนะคะ ในกรณีที่ไม่มีหนังสือเดินทาง ใบนี้อยู่ได้ 3วันนะคะ ค่าทำบัตรตกอยู่ที่คนละ 30 บาทไทย 






เมื่อทำเรื่องเสร็จก็ข้ามมาฝั่งได้เลย เสียอีก100นะคะ จ่ายกับเจ้าหน้าที่ทางลาว เมื่อข้ามมา คุณพ่อขับรถมารับ โดยใช้เวลา เกือบชั่วโมง ก็เข้ามาในเมืองปากเซเรียบร้อย ที่นี่อาหารการกินคล้ายเมืองไทยเลย แต่จะมีเฝอที่ขึ ้นชื่อ ไม่ต้องไปเวียดนามก็ได้ กินนะคะ จากนั ้นพ่อก็พาเที่ยวน ้าตกต่อเพราะเนื่องจากมีเวลาแค่วันเดียว น ้าตกที่ขึ ้นชื่อตาดผาส้วมค่ะ เสียค่าเข้าก็เที่ยวได้เลย กลางคืน เรามากินข้าวกันบนแพกลางแม่น ้าโขง อาหารที่นีจะเป็ นแบบของไทยเลยค่ะ แต่ข้าวสวยของเขาจะอร่อยมาก นุ่มๆ เหนียวๆ ต้องลองมาทานดูนะคะ บรรยากาศเหมือนฝั่งอีสานบ้านเราเลย








 รุ่งเช้าเตรียมตัวกลับค่ะ มายังไงกลับอย่างนั้นค่ะ ปากเซเป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย แต่ถามถึงความสงบ สบายเลือกที่นี่ได้เลยค่ะ ส่วนเวียงจันทน์ จะเปรียบเสมือนกรุงเทพบ้านเราเลยจะทันสมัยมาก ลองมาเที่ยวดูนะคะ  ความชอบ คนเราไม่เหมือนกัน การเดินทางไม่ลำบากสะดวกสบายค่ะ


นางสาวนิอร หมั่นกิจ 001

(ครึ่ง)วันเดียวเที่ยวได้แม้ไร้แอร์

           


               หน้าร้อนแบบนี้เมื่อพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยว หลายๆ คนคงนึกอยากไปเดินเล่นในห้างที่มีแอร์เย็นฉ่ำ หรือที่ไหนก็ได้ที่มีแอร์ช่วยให้คลายร้อน เพราะเมื่อเห็นแสงแดดที่แผดเผาอยู่ทุกๆ วัน คงยากที่จะมีใครอยากจะออกมาเดินเล่นข้างนอกให้รู้สึกเหมือนเป็นไก่ย่างถูกเผา ข้าพเจ้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบสถานที่เย็นๆ เช่นกัน โดยปกติแล้วจึงมักจะไปสิงตัวอยู่ตามห้างหรือร้านที่มีแอร์เย็นๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งเซเว่น... โอกาสที่จะไปเดินเล่นชิวๆ ในสภาพอากาศร้อนๆ นั้นแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ แต่แล้ววันหนึ่งหลังจากเรียนเสร็จ ก็เกิดมีความคิดขึ้นมาว่า “ไปเดินเล่นที่วังหลังกับเพื่อนๆ ดีไหม?” เพราะเป็นสถานที่ที่ยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง คิดได้อย่างนั้นก็ชวนเพื่อนๆ ในกลุ่มนั่งรถจากหน้าโรงพยาบาลวชิระไปกันโดยไม่รอช้า

                รถเมล์สาย 524 พาพวกเราทั้ง 6 คนไปส่งที่สนามหลวง ก่อนที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ จะพากันเดินไปยังท่าเตียน โดยเหตุผลที่เราเลือกจะไปขึ้นเรือข้ามฟากที่นั่น เพราะอยากจะแวะไปที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารก่อน หลังจากจ่ายเงินค่าโดยสารกันคนละ 3 บาท เรือก็พาเรามาส่งตรงท่าเรือวัดอรุณฯ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ เดินตามนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติเข้าไปในภายในวัดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน รู้สึกเย็นสบายเล็กน้อยเพราะต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในบริเวณวัด แต่ถึงกระนั้นแสงแดดก็ยังคงทำหน้าที่ได้ดีเสียจนพวกเราแทบจะเป็นลม ด้วยความที่อากาศยังร้อนอยู่มาก ข้าพเจ้าจึงทำเพียงแค่ถ่ายรูปสองยักษ์เฝ้าวัดอรุณฯ อย่างทศกัณฐ์และสหัสเดชะที่ยืนคุมเชิงอย่างแข็งขันบริเวณหน้าประตู หันไปกดมือถือเก็บรูปพระปรางค์ที่กำลังบูรณะกับศาลาทรงจีนที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่เพื่อนๆ จะชักชวนออกจากวัดเพื่อไปที่วังหลังกันต่อ
ยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู

 พระปรางค์ที่กำลังบูรณะ

 ศาลาทรงจีนริมน้ำ



                พวกเราเดินออกมายังด้านหน้าของวัด ก่อนจะถามวิธีการเดินทางไปยังวังหลังกับเจ้าหน้าที่ทหารที่หอประชุมกองทัพเรือ ซึ่งได้บอกให้เราข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์อีกฝั่ง หลังจากกล่าวขอบคุณแล้วข้าพเจ้าและเพื่อนๆ จึงเดินข้ามสะพานลอยมารอรถ ใช้เวลาเพียงชั่วครู่รถก็มา พวกเราจึงขึ้นไปลงที่หน้าโรงพยาบาล ก่อนที่จะพากันเดินไปยังวังหลังด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เพราะสภาพอากาศยังคงร้อนอยู่

                เมื่อเดินมาถึงวังหลัง สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในความคิดของพวกเราคือการหาอะไรรองท้อง เพราะทุกคนต่างก็เหนื่อย ร้อน และอยากจะพักกัน ดังนั้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าร้าน “อรทัย ซูชิวังหลัง” ร้านที่เหล่าวัยรุ่นชอบมาทานกัน พวกเราจึงไม่คอยท่า ตัดสินใจกันอย่างรวดเร็วว่าเราจะพักเติมเสบียงให้กับพุงน้อยๆ ก่อนที่จะไปเดินเที่ยวกันต่อ เพราะหากไม่หยุดพักกันเสียหน่อย อาจจะมีใครเป็นลมเป็นแล้งได้

                หลังจากพักกันจนหายเหนื่อยและอิ่มท้องแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ จึงออกจากร้านเพื่อไปตะลุยกันต่อ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ออกมาเดินเล่นในแหล่งช็อปปิ้งที่ขึ้นชื่อแห่งนี้ จึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับร้านที่เรียงรายกันอยู่สองข้างทาง แม้บางร้านจะเริ่มทยอยปิดเพราะเย็นย่ำแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายร้านที่ยังคงเปิดต้อนรับลูกค้าอยู่อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ที่วังหลังนี้มีสินค้าขายกันละลานตา ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ขนม กระเป๋า รองเท้า ผลไม้ และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะเสียจนข้าพเจ้าบอกเล่าได้ไม่หมด แต่ที่ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นร้านหนังสือ “ต้นสน” เพราะโดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เมื่อได้มาเห็นร้านหนังสือที่ดูเก่าๆ แต่ดูคลาสสิคแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะนึกชอบใจจนต้องกดมือถือถ่ายรูปมาไว้เป็นที่ระลึก แต่ก็ไม่ได้เดินเข้าไปดูด้านในร้านอย่างที่อยาก เพราะต้องรีบเร่งเดินให้ทั่วก่อนที่ตะวันจะลับฟ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงทำได้เพียงเดินจากมาด้วยความคิดที่ว่า "ไว้วันหลังจะมาเดินดูหนังสือที่นี่อีกครั้ง"






ร้านหนังสือ "ต้นสน" ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ



                หลังผละออกจากร้านหนังสือข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็เดินชมร้านค้ากันอีกสักพัก ก่อนจะออกมายังท่าเรือวังหลังในเวลาค่ำ แสงอาทิตย์ได้จากลาพวกเราไปแล้วหลังจากที่แผดเผาเมืองกรุงเทพมาหลายชั่วโมง แต่แม้จะค่ำแล้วท่าเรือก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน พวกเราต่างขึ้นเรือข้ามฟากกลับไปยังท่าพระจันทร์อย่างไม่รอช้า เพราะยังต้องเดินทางกลับบ้านกันอีกไกล แสงไฟริมถนนส่องสว่างแทนแสงแดดที่ลาลับ สองขาของข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ต่างก้าวไปตามทางเท้าอย่างรีบเร่ง ก่อนจะมาหยุดรอรถเมล์กันที่ป้าย ใช้เวลาเพียงครู่รถก็มาจอดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่สองขาจะพาข้าพเจ้าขึ้นไปบนรถเมล์ ความเหนื่อยล้าของข้าพเจ้าได้ถูกเยียวยาด้วยแอร์ที่เย็นฉ่ำของรถเมล์ หลังจากที่ไปเดินตะลุยท่ามกลางอากาศร้อนๆ มาทั้งวัน

                การได้ออกมาเที่ยวสถานที่อื่นนอกจากห้างหรูๆ แอร์เย็นๆ บางครั้งก็อาจทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แม้บางครั้งอากาศอาจจะไม่เอื้ออำนวยให้เรารู้สึกสบายตัวนัก แต่การได้มาเดินเล่นในวันที่แสงแดดร้อนแรงก็ทำให้เราได้ฝึกความอดทน ได้พบเจออะไรใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยเห็น เปิดโลกทัศน์ให้เราได้เรียนรู้อะไรๆ มากขึ้นกว่าเดิม ในตอนแรกเราอาจจะคิดว่าการมาเดินเที่ยวท่ามกลางแดดกรุงเทพนั้นดูลำบาก แต่ถ้าหากได้ลองมาเที่ยวดูสักครั้ง เสน่ห์ของมุมเมืองที่เราไม่เคยคิดจะมาเยือน อาจทำให้เราหลงเสียจนลืมความร้อนจากแสงอาทิตย์เลยก็เป็นได้ 




พิมพิกา ใจหนัก 053
                

ลากแตะเที่ยวกรุง 1 วันกับตลาดสุดคลาสสิก “วังหลัง”




ใครๆ ที่หลงใหลบรรยากาศเก่าๆ ตึกราบ้านช่องยังคงมนตร์คลังเหมือนหยุดเวลามาจากรัชกาลที่ 5 บรรยากาศผู้คนจับจ่ายใช้สอยขายของสองข้างทาง เดินเที่ยวไปกินไป ต้องไม่พลาดมาสัมผัสมนตร์เสน่ห์สุดอมตะของเมืองกรุงในอีกด้าน อย่าง “ตลาดวังหลัง”
ตลาดวังหลังตั้งอยู่ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลศิริราช หรือถ้าขึ้นรถเมล์มาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้วมาลงแถวย่านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์เดินต่อมาใช้บริการเรือข้ามฟาก (เที่ยวละ 3 บาท) ไปลงท่าอื่นๆ จะสะดวกมากกว่า


ร้านกาแฟข้างทาง


ตลาดวังหลังจะเป็นถนนสายเล็กๆ เดินสวนกันได้แค่ไปกลับเท่านั้น บรรยากาศยังคงกลิ่นอายอดีตเอาไว้ทั้งสาย ตึกราบ้านช่องที่ชั้นบนยังเป็นอาคารไม้ต่อกันเป็นช่วงๆ หรือจะเป็นปูนแต่ก็ยังคงกรุ่นกลิ่นอายคลาสสิกเอาไว้ไม่คลาย มีทั้งร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า ร้านหนังสือมือสอง ราคาค่อนข้างถูก ต่อราคาได้ (แล้วแต่ร้าน) แต่สินค้าจะไม่เยอะเหมือนจตุจักร ผู้คนไม่พลุกพล่านมากเดินไปซื้อของข้างทางกินไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปก็จะเพลินไม่น้อย ร้านรวงยังเปิดขายของกินทั้งของคาว ของหวานราคาไม่แพงเว้นสลับประปรายกับร้านเสื้อผ้า รองเท้าหรือหนังสือนั่งชิมความอร่อยในร้านสบายๆ ก่อนนอกเดินเที่ยวต่อก็ได้ หรือจะลองชิมผลไม้สด น้ำปั่น ลูกชิ้นที่เป็นรถเข็นเล็กๆ ที่ตั้งเรียงรายก็ไม่ควรพลาด



ร้านอรทัย ซูซิวังหลัง กับซูชิชิ้นละ 5 บาท


แต่ร้านขึ้นชื่อของตลาดวังหลังอย่าง “อรทัย ซูชิวังหลัง” นั้นยิ่งไม่ควรพลาดหากยิ่งชอบทานอาหารญี่ปุ่น ที่สำคัญราคาไม่แพง มีงบกำจัดมาเที่ยวล่ะก็ควรอย่างยิ่งที่จะก้าวเท้าเข้ามาลองความอร่อยของร้านนี้ เมื่อก้าวเข้ามาในร้านลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะไล่ตั้งแต่เด็กมัธยมไปจนถึงคนทำงาน ซูชิมีทั้งคิดราคาเป็นลูกปกติลูกละ 5 บาท และซูชิหน้าเนื้อต่างๆ ก็ลูกละ 7 บาท หรือจะเหมามาทานเป็นเซ็ตก็ตกไม่เกินชุดละ 160 บาทเท่านั้น เมนูข้าวเมนูเส้น เริ่มต้น 100 บาทขึ้นไปหรือทาโกะยากิไส้ต่างๆ เริ่มต้นจานละ 50 บาท  เมนูน้ำปั่นหลากหลายเช่นน้ำแตงโม น้ำมะพร้าว น้ำสัปปะรดปั่น เป็นต้น ทุกแก้วจะราคา 30 บาท หรือสุดประหยัดอย่างชาเขียวแก้วละ 7 บาท อิ่มท้องให้สบายด้วยราคาสบายกระเป๋า แล้วก้าวเท้าออกเดินเที่ยวดูบรรยากาศในตลาดวังหลังกันต่อ


บรรกายาศรถเข็นขายอาหารในตลาดวังหลัง

ในตลาดวังหลังจะมีการผสมผสานวัฒนธรรมของผู้ที่อพยพมาอยู่หลายชาติ เช่น ชนชาติจีน ที่เมื่อเดินไปอาจจะพบศาลเจ้าเล็กๆ อยู่ริมถนน เป็นภาพที่ชินตาในสังคมไทย แต่ชวนให้รับกลิ่นอายของสมัยก่อนได้อย่างดี หรือจะนั่งรถต่ออีกนิดมาเที่ยววัดอรุณราชวรารามก็ได้ อิ่มท้องแล้วก็ต้องมาทำบุญให้สุขใจ เสพบรรยากาศวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาตบท้ายก่อนกลับ ถนนเมื่อเดินออกจากวัดอรุณก็จะเห็นถนนสายเล็กๆ ที่ปูพื้นด้วยปูนแปลกตาแต่ชวนให้หยุดถ่ายรูปเหลือเกิน


ร้านแก้วกาแฟ

ใครที่วันหยุดแล้วไม่อยากแพคกระเป๋าเที่ยวไกลต่างจังหวัด หรืออยากออกเที่ยวใกล้ๆ ไม่ไกลควรจะลองมาสัมผัสกับตลาดวังหลังสักครั้ง ผู้คนน่ารักและทริปเที่ยวนี้เที่ยวได้ราคาสบายกระเป๋าแถมสบายใจ เป็นอีกหนึ่งการท่องเที่ยวใน 1 วันที่คนกรุงและคนมาเที่ยวกรุงไม่ควรพลาด กับเสน่ห์ยากจะลืม “ตลาดวังหลัง”

 นางสาวเพชรา  นุชแดง 026

หยุดเวลาไว้ ... ที่ "วังหลัง"

           

                 กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล เมืองแห่งสีสันที่ก้าวข้ามยุคสมัยไปยังอนาคต ตึกรามบ้านช่อง รถรามากมายที่ผู้คนต้องฝ่าฟันกันยามเช้า ชีวิตเร่งรีบกับเวลาที่เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วนั้น คงก่อให้เกิดความคุ้นชินขึ้นในชีวิตคนเมืองกรุง เวลาช่างเป็นเงินเป็นทองไปเสียทุกวินาที แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีที่หนึ่ง ที่ซึ่งเสมือนหยุดเวลาที่เร่งรีบนี้ให้กับคนเมืองกรุงได้พักไปกับสถานที่นี้

                “วังหลัง” อาจเป็นได้ทั้งสถานที่ที่เวลาเคลื่อนผ่านไปช้าสุดหรือแม้กระทั่งเป็นสถานที่ที่หยุด ช่วงเวลาในอดีตไว้ ให้เหมือนเราหลุดเข้าไปในตลาดย้อนยุค ตึกรามบ้านช่องยังคงไว้เป็นตึกอาคารไม้ ถึงแม้จะมีการผสมผสานบ้านยุคใหม่บ้าง แต่มันยังคงกลิ่นอายความเก่าตามยุคสมัยไว้ไม่จางหาย...
                ตลาดวังหลังนั้นขายสินค้ามากมายหลายชนิด ซึ่งหลายคนอาจจะรู้จักเพียงไม่กี่อย่างที่มีคน
กล่าวถึงมากในโลกอินเทอร์เน็ต อรทัยซูชิ ซูชิขนาดน่ารักในราคาเป็นมิตร สถานที่ซึ่งรวมนักเรียนนักศึกษากลุ่มใหญ่ คนทำงานที่อยู่ในช่วงพักเบรก หรือ ครอบครัวที่มาทานด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา อีกหนึ่งสถานที่ที่หยุดเวลาแห่งความสุขไว้ ที่วังหลังนี้.... 
ป้ายอรทัย ซูชิวังหลังที่พบได้ทั่วบริเวณ

เอแคลร์ใส้แน่นในราคากล่องละ ๑๐ บาทที่ต้องห้ามพลาดในการมาตลาดวังหลัง เนื้อครีมเข้มข้นกับแป้งเนื้อนุ่มอาจทำให้คุณติดใจจนต้องกลับมาซื้ออีกครั้ง นี่อาจเป็นสิ่งที่คุณเห็นได้จากอินเทอร์เน็ต หากแต่คุณไม่ได้ลองมาสัมผัส 
แม่ค้าที่กำลังเรียกลูกค้าที่เดินผ่านไปมา

                 สองข้างทางแห่งการค้าขายคลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า และผู้คนที่สัญจรไปมาในถนนเส้นนั้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูวุ่นวายในความคิด แต่เมื่อได้มาพบเจอและอยู่ในสถานที่จริง กลับทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดโดยทันที บรรยากาศเก่าๆที่ดูสงบเงียบ ดูเหมือนจะทำให้เราหยุดอยู่กับที่ไปกับช่วงเวลานั้น ฉันเองไม่อาจละสายตาจากความเรียบง่ายจากตลาดวังหลังได้เลย หากพบกับความวุ่นวายมากมายที่อยู่ถัดออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร
ผู้คนที่สัญจรไปมาในถนนเส้นนี้
 

คุณลุงขายรองเท้าแตะในราคา ๒๕ บาท

                การมาตลาดวังหลังนั้นไม่ได้เพียงแค่ของกินติดไม้ติดมือเป็นของฝากเท่านั้น ยังได้การพักผ่อนจิตใจจากความวุ่นวายด้วยบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายลมพัดแรงเสียจนลืมความร้อนรุ่มในจิตใจ บวกกับได้เห็นวิถีชีวิตริมน้ำที่พบได้ยากในกรุงเทพ เรือหางยาวหลายลำแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็ว สวนกับเรือข้ามฟากลำใหญ่ที่บรรทุกผู้โดยสารข้ามฟากมาเต็มลำ น่าแปลกที่ทุกคนควรจะหงุดหงิดกับผู้คนมากมายที่ยืนรอต่อคิวขึ้นเรือข้ามฟาก แต่ทุกคนกลับดูสบายๆ เมื่อยามสายลมพัดผ่านมาในตอนยืนอยู่ที่โป๊ะเรือแห่งนี้ เส้นทางของทุกคนในที่นี้คงไม่แตกต่างกันมากนัก ตลาดวังหลังคงเป็นเหมือนเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งที่เชื่อมต่อเวลาเหล่านั้นเข้าหาด้วยกัน..
วิถีชีวิตริมน้ำตามสองข้างทาง

เรือข้ามฟากเทียบท่ารับผู้โดยสารตลอดเวลา


              
          เสน่ห์ของตลาดวังหลังนั้นมีอีกมากมายที่รอให้คนไปพบ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความย้อนยุค
ที่คงอยู่ในตลาดวังหลังนั้น ดึงดูดผู้คนทุกเพศทุกวัยไว้ให้กลับไปยังสถานที่นั้นเรื่อยไป อาจเพราะ
ติดใจรสชาติอาหารที่แสนอร่อย ติดใจความสวยงามของชุมชนวังหลังที่ติดความสโลว์ไลฟ์ หรืออาจจะติดใจช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายเมื่อได้มาเหยียบที่ “ตลาดวังหลัง” ก็เป็นเป็นได้  


วรัญญา ฉลาดละออ 057



วังหลัง

วังหลัง แหล่งช็อป พาเพลิน




ตลาดดังๆ แถวๆ กรุงเทพฯ ส่วนมากมักจะมีอยู่ หลายๆที่ แต่ที่หลายๆคนมักคุ้นหู คุ้นตากันดี ก็คงจะไม่พ้น ตลาดวังหลังนี่แหละค่ะ

ตลาดวังหลังเป็นที่รู้จักกันมานานกันพอสมควร เป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งช็อป ซึ่งเหมาะแก่ผู้คนในสมัยรุ่นๆเป็นอย่างมาก ตลาดวังหลังนั้นเป็นพื้นที่บริเวณที่เก่าแก่มาก แต่ก่อนเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือวังหลัง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และต่อมานั้นก็มีการสร้างและขยายเป็นโรงพยาบาลศิริราชขึ้น และในบริเวณวังหลังนั้นก็ได้กลายมาเป็นตลาดสด มีทั้ง อาหาร คาว หวาน มากมาย

ในปัจจุบันนี้ตลาดวังหลังก็ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เพื่อที่จะได้มาสัมผัสบรรยากาศที่สวย และในยามค่ำคืนนั้นจะสวยยิ่งกว่าเป็นหลายๆเท่า สถานที่แห่งนี้จะมีร้ายขายซูชิมากมาย และราคาก็ไม่แพงด้วย ส่วนมากวัยรุ่นจะนิยมกันมาก มีทั้ง เสื้อผ้ามือสองอีกมาก

ขอบอกเลยว่าถ้าไม่ลองมาเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ถือว่าพลาดแน่นอน เพราะเป็นที่ที่สวย น่าเที่ยว และยังเป็นแหล่งที่เรียกได้ว่าของกินเพียบเลยขอบอก และสิ่งที่ขึ้นชื่อและไม่ควรพลาด ก็คือ อรทัย ซูชิวังหลัง ซึ่งเป็นของกินขึ้นชื่อของตลาดวังหลังอีกด้วย แค่นี้ก็ถือว่าอิ่มกันไปตามๆกัน นอกจากนี้ก็ยังมีร้านหนังสืออยู่หลายร้าน มีทั้งขายหนังสือมือหนึ่ง มือสอง เอาใจคนที่รักหนังสือ เรียกได้ว่ามาเที่ยวตลาดวังหลังแล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน และก่อนที่จะกลับบ้านนั้นก็ลองแวะไปสูดอากาศที่แม่น้ำเจ้าพระยากันดู อากาศเย็นสบายในเวลากลางคือ หรือถ้าใครที่ยังไม่เหนื่อยกันก็ลองนั่งเรืิอข้ามฟาก ไปยังท่าพระจันทร์กันดูยังมีแหล่งที่เที่ยวอีกเยอะแยะมากมายสำหรับใครอีกหลายๆคน 

ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะว่าวังหลังยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งช็อปมากมาย ให้ใครหลายๆคนได้สัมผัสกัน สำหรับใคร ที่ชอบเที่ยว ชอบช็อป ชอบกิน ลองมาเที่ยวที่ตลาดวังหลังกันดูนะคะ รับรองได้ว่าไม่มีผิดหวังแน่นอน


กนกวรรณ สุขเสถียร 043

ตลาดโบ๊เบ๊



       ตลาดโบ๊เบ๊ เป็นแหล่งขายส่งเสื้อผ้า สินค้าราคาถูกตลาดโบ๊เบ๊ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โบ๊เบ๊ เป็นสถานที่ที่คนในกรุงเทพฯและพ่อค้าแม่ค้ารู้กันว่าดีว่าเป็นแหล่งขายราคาซึ่งส่วนใหญ่ส่งเสื้อผ้าที่มีคาราถูกที่สุดแห่ง  หนึ่งของประเทศไทยและยังมีขนาดใหญ่ที่สุดอีกด้วย ที่นี่มีของขายทุกประเภท ตั้งแต่ชิ้นเล็กไปจนถึงชิ้นใหญ่ๆ เรียกได้ว่ามีขายครบครัน สากเบือยันเรือรบกันเลยทีเดียว ตลาดโบ๊เบ๊นั้น เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มแตกนั้นขายแบบวางขายกันบนพื้น โดยสินค้าในช่วงนั้นจะเป็นเสื้อผ้าเสียส่วนใหญ่ ต่อมาเริ่มพ่อค้าแม่ค้ามากขึ้น เริ่มเป็นที่รู้จัก มีคนเข้ามาซื้อขายกันมากขึ้น รวมทั้งมีการจัดการดูแลที่ดีขึ้น จึงได้เปลี่ยนจากการขายแบบวางขายบนพื้นมาเป็นขายแบบแผงลอย และเป็นอาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน

       ตลาดโบ๊เบ๊ ตั้งอยู่ในบริเวณคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงระหว่างสะพานกษัตริย์ศึกกับตลาดมหานาค  ตลาดโบ๊เบ๊มีทั้งรูปแบบขายปลีกและขายส่ง สำหรับเสื้อผ้านั้นจะนิยมขายกันแบบขายส่งหรือขายแบบยกโหล โดยตลาดขายส่งบริเวณด้านนอกของตลาดโบ๊เบ๊นั้น จะเริ่มขายกันตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00  เป็นต้นไปไปลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มาซื้อเสื้อผ้า และสินค้าอื่นไปขาย
     
       บรรยากาศที่น่าสนใจ คือ สำหรับแผงลอย   และร้านค้าในอาคารพาณิชย์(โบ๊เบ๊ทาวเวอร์)  ของตลาดโบ๊เบ๊นั้น จะเริ่มเปิดขายตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้า เป็นต้นไปที่นี่จะขายกันทั้งวัน สินค้าที่ขายมีมากมายหลายชนิด อาทิเช่น เสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า ชุดนอน ชุดเด็ก ชุดว่ายน้ำ ชุดชั้นใน เสื้อผ้าสำเร็จรูป ฯลฯ ลูกค้านอกจากจะมีคนไทยแล้ว ยังมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง กัมพูชา ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย ให้ความสนใจมาจับจ่ายซื้อขายในตลาดโบ๊เบ๊กันเป็นจำนวนมาก



ที่ตั้ง : 488 ถนนดำรงรักษ์ แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
โทรศัพท์ : 0-2628-1888
ตลาดโบ๊เบ๊แผงลอย โบ๊เบ๊เซ็นเตอร์ เวลาเปิด ปิด : 03.00-16.00น. เปิดขายทุกวัน
ตลาดโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ เวลาเปิด ปิด : 11.00น.-18.00น. เปิดขายทุกวัน
(สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ เปิดขายถึง 12.00น.)
การเดินทาง : รถโดยสารประจำทางสาย 37, 53, เรือโดยสารคลองแสนแสบ ,รถส่วนตัว











มัทรี ขำมะโน 028

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เมืองเก่า ใจกลางกรุง



      ย่านสนามหลวง ถือเป็นย่านใจกลางกรุงเทพฯ ที่ยังรักษาความเก่าแกของกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ไม่เลือนหาย พื้นที่ระแวกนี้ยังคงกลิ่นอายของชาววังคละคลุงไปทั่ว อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังถูกรอบล้อมไปด้วยศาสนาสถานชื่อดัง ที่ไม่ว่าชาวไทยหรือชาวต่างชาติต่างก็ไม่พลาดที่จะแวะมาเยี่ยมชมความสวยงาม และความเก่าแก่ที่แทบหาดูไม่ได้ง่ายๆ แล้วปัจจุบันนี้ 


       ที่เกรินมาข้างต้นไม่ใช่จะพาไปศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทยหรืออะไรเทือกๆ นั้น แต่ในวันนี้ดิฉันจะนำทุกท่านไปท่องเที่ยวแบบท้าแดดท้าลม แถมเงินแทบไม่กระเด็นออกจากกระเป๋ากันเลยทีเดียว ที่แรกที่จะไปคือวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือที่ได้ยินกันอย่างคุ้นหูว่า วัดพระแก้ว นั่นเอง เหตุผลที่เรียกวัดพระแก้วก็เพราะในวัดพระศรีรัตนศาสดารามแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐ์สถานของพระแก้วมรกตซึ่งองค์พระพุทธรูปที่งดงามมาก และด้วยความที่สนามหลวงนั้นมีวัดมากมายอยู่ในระแวกใกล้เคียง สถานที่ต่อไปที่ดิฉันจะพาทุกท่านไปก็คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือที่เราเรียกกันคุ้นปากว่า วัดโพธิ์ นั่นเอง





        วัดโพธิ์เป็นที่ประดิษฐ์สถานของพระนอนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระนอนที่สวยที่สุดในประเทศไทย และแน่นอนว่าหากใครเคยได้ยินตำนานเล่าขานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้ง ทุกๆท่าน ก็คงไม่พลาดที่จะไปเยือนวัดแจ้งเป็นสถานที่ต่อไป ตำนานที่ว่านั้น คือยักษ์ทั้งสองวัดมีความบาดมางกัน จึงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท และต่อสู้กันอย่างรุนแรง ด้วยความที่ยักษ์มีร่างกายสูงใหญ่ ระหว่างที่ต่อสู้กันนั้น พวกยักษ์ก็ได้เหยียบย้ำบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียงจนเละเทะแทบไม่เหลือเค้าเดิม ตำนานนี้จึงเป็นต้นกำเนิดของ ท่าเตียน..



       พูดซะขนาดนี้ไม่พาไปเยี่ยมชมวัดแจ้งคงไม่ได้ อีกทั้งวัดแจ้งยังอยู่ใกล้เคียงกับวัดโพธิ์ ห่างเพียงแม้น้ำเจ้าพระยาพาดผ่านเท่านั้น การจะเดินทางข้ามไปวัดแจ้งก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่นั่งเรือข้ามฟากโดยเสียค่าโดยสารเพียง ๓ บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ถูกมากแถบไม่สะกิดขนหน้าแข้งนักท่องเที่ยวซักนิดเดียว วัดแจ้งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่าวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดโพธิ์ โดยสิ่งที่โดดเด่นของวัดแจ้งก็คือพระปรางค์ซึ่งมีขนาดใหญ่ตั้งสง่าโดดเด่นสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลอีกทั้งพระปรางของวัดแจ้งได้สร้างขึ้นให้คล้ายกับเขาพระสุเมรุ ซึ่งเขาพระสุเมรุนี้เราทุกคนต่างได้เรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าเป็นเรื่องราวของแดนสวรรค์แดนนรกบุญบาปต่างๆ นอกจากนี้วัดแจ้งอาจมีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดีที่ยิ่งใหญ่ของไทยเรื่องหนึี่ง อันได้แก่มหากาพย์สงรามอันยิ่งใหญ่เรื่องรามเกียรติ์นี่เอง เพราะยักษ์ที่เฝ้าหน้าวัดนั้นก็คือทศกัณฐ์และสหัสเดชะ ซึ่งเป็นตัวละครที่สำคัญของวรรณคดีเรื่องนี้


       เห็นมั๊ยคะว่าการท่องเที่ยวแบบง่ายๆ ราคากันเอง การเที่ยวแบบวันเดียวจบแต่ได้ไปหลายๆ ที่ เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหน ย่านสนามหลวงนี้ก็ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุ้มสุดๆ ในการตัดสินใจมาเที่ยว แถมในย่านนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ไม่ได้นำว่ากล่าวถึงอีกมาก เช่น ศาลหลักเมือง วังหลัง มิวเซี่ยมสยาม และอื่นๆ ที่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมานำเสนอโดยผู้อ่านสามารถเลือกท่องเที่ยวไปในที่ๆ ตัวเองชื่นชอบได้ตามสบาย อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าในย่านนี้จะคงความเก่าแก่ไว้ให้มากที่สุด สนามหลวงจึงเหมาะกับคนที่อยากซึบซับความรู้สึกในอดีต หรืออยากสัมผัสความเก่าแก่ในย่านเมืองเก่ากลางกรุงอย่างนี้ก็ถือว่าหายากมากๆ หากท่านได้มาเยือนในที่แห่งนี้รับรองเลยว่าทุกท่านต้องหลงเสน่ห์มนขลังความร่วมสมัยของที่นี่อย่างแน่นอน


เมษิณี เสภู่ ๐๕๕